ประวัติและวัตถุมงคลหลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร สิงห์บุรี อีกหนึ่งศิษย์หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง
หลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร สิงห์บุรี |
หลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร หรือ พระครูมงคลนวการ อดีตเจ้าอาวาสวัดศรีสาคร ตำบลต้นโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี ท่านเกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๗๑ ท่านมีนามเดิมว่า ฉาบ ด้วงดารา โยมบิดาชื่อนายเน่า ด้วงดารา โยมมารดาชื่อนางสมบุญ ด้วงดารา ท่านเป็นบุตรคนโต จากจำนวนพี่น้อง ๗ คนด้วยกัน
๑. หลวงพ่อฉาบ
๒. นายเอิบ
๓. นายสังวาล
๔. นายประสงค์
๕. นายถวิล
๖. นายปุ่น
๗. นางสมนึก
บ้านเดิมอยู่บ้านเลขที่ ๒๗ ตำบลต้นโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี จบการศึกษาชั้น ป.๔ ที่ โรงเรียนวัดศรีสาคร ครอบครัวท่านมีอาชีพทำนา หลวงพ่อฉาบในตอนยังเป็นฆาราวาส เป็นคนถือสัจจะเป็นใหญ่ มีความตั้งใจพูดจริงทำจริง และสนใจในเวทย์มนต์คาถา มักชอบไปกราบนมัสการหาพระอยู่เสมอ
ปี พ.ศ. ๒๔๘๕ หลวงพ่อแช่ม อินทโชโต วัดตาก้อง อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ท่านได้สร้างเหรียญรุ่นแรกของท่านขึ้น และได้นำมาแจกให้คณะศิษยานุศิษย์ ทายกทายิกาที่ร่วมทำบุญมาทำการทอดกฐินยังวัดศรีสาคร
หลวงพ่อแช่ม วัดตาก้อง นครปฐม |
และได้มาพำนักอยู่ที่วัดศรีสาครเป็นเวลาถึง ๖ เดือน เพราะท่านสนิทกับหลวงพ่อดี เจ้าอาวาสวัดศรีสาครในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก
หลวงพ่อฉาบ ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในวัยเด็กมีอายุได้ ๑๔ ปี มีความศรัทธาเลื่อมใสหลวงพ่อแช่มมาก ได้มากราบนมัสการหลวงพ่อแช่มบ่อยครั้ง และได้ขอฝากตัวเป็นศิษย์ขอเล่าเรียนวิชาคาถาอาคมต่างๆ
ในลำดับแรกหลวงพ่อแช่มได้สอนให้เรียนรู้ทางด้านการปฏิบัติจิต สมถกรรมฐาน และวิปัสสนากรรมฐาน ให้จิตนิ่งเป็นสมาธิก่อน และหลังจากทำกรรมฐานและวิปัสสนาอยู่ ๓ เดือน หลวงพ่อแช่มก็ได้สอนวิชาคาถาอาคมต่างๆ ให้
ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ หลวงพ่อแช่มก็ได้กลับไปวัดตาก้อง หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๘๘ หลวงพ่อแช่มได้มาพำนักที่วัดศรีสาครอีกครั้งหนึ่ง เป็นเวลา ๒๕ วัน ซึ่งหลวงพ่อฉาบตอนนั้นอายุได้ ๑๗ ปี ได้เข้าพบรับใช้และเล่าเรียนสอบถามวิชาไสยเวทย์
พร้อมให้หลวงพ่อแช่มช่วย ทบทวนวิชาคาถาที่เล่าเรียนจนสามารถปฏิบัติได้ตามคำสอนอย่างดี แล้ว หลวงพ่อแช่มก็เดินทางกลับวัดตาก้อง ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ หลวงพ่อแช่มท่านก็ได้ละสังขารมรณภาพลงในปีนั้น
ปี พ.ศ. ๒๔๙๑ หลวงพ่อฉาบท่านอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ท่านจึงได้เข้ารับการอุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดศรีสาคร ตำบลต้นโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดสิงห์บุรี เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ได้รับฉายาว่า "มงฺคโล" โดยมี
พระครูเกศิวิกรม (หลวงพ่อทรัพย์ ฐิตปญฺโญ) วัดสังฆราชาวาส เป็นพระอุปัชฌาย์
พระอาจารย์ประทุม วัดสว่างอารมณ์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
พระอธิการฉ่ำ วัดตึกราชาวาส เป็นพระอนุสาวนาจารย์
หลังจากอุปสมบทเป็นพระภิกษุแล้วท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดศรีสาครเรื่อยมา โดยท่านได้ตั้งจิตมั่นได้กล่าวคำสัจจะวาจาบอกกล่าว ต่อโยมบิดามารดาของท่านว่า เมื่อฉันได้บวชเรียนเป็นภิกษุแล้วจะขอรับใช้พระพุทธศาสนาตลอดชีวิต โยมพ่อและโยมแม่ก็ไม่ได้ทักทวงแต่ประการใด
เมื่ออุปสมบทแล้วได้จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีสาคร ๒ พรรษา ได้เรียนพระธรรมวินัยไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานและพุทธาคมจากหลวงพ่อทรัพย์ ซึ่งองค์นี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อพูล เจ้าอาวาสองค์ก่อนของวัดสังฆราชาวาส ซึ่งเป็นสหายธรรมของหลวงพ่อเชย วัดท่าควาย และหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก
โดยหลวงพ่อพูลนั้นท่านเป้นพระเกจิยุคเก่าที่เก่งกาจของจังหวัดสิงห์บุรี เหรียญรุ่นแรกของหลวงพ่อพูล วัดสังฆราชาวาส ถือเป็นเหรียญยอดนิยมของชาวเมืองสิงห์บุรี เป็นสุดยอดเหรียญที่ศักดิ์สิทธิ์และคงกระพัน
หลังจากหลวงพ่อฉาบได้ศึกษาวิชาจากหลวงพ่อทรัพย์แล้ว ก็ได้ปรึกษาหลวงพ่อทรัพย์ในการปฏิบัติกิจแห่งธุดงค์วัตร ก็ได้รับการแนะนำสั่งสอนอย่างดี
ปี พ.ศ. ๒๔๙๓ ท่านได้มุ่งสู่จังหวัดลพบุรี ดินแดนซึ่งเคยเป็นอาณาจักร ลวปุระ (ละโว) อันรุ่งเรืองเกรียงไกรมาแล้ว หลวงพ่อฉาบได้เดินธุดงค์ไปยังถ้ำตะโก เพื่อจะไปหาความสงบวิเวก เมื่อถึงถ้ำตะโกมาทราบว่าหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโกพุทธโสภา ท่านได้ละสังขารมรณภาพไปแล้ว
แต่ได้พบกับหลวงพ่อคง (คงฺคปัญโญ) เจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโก ศิษย์เอกหลวงพ่อเภา ซึ่งได้รับสืบทอดวิชาวิปัสสนากรรมฐานและไสยเวทย์ต่างๆ จากหลวงพ่อเภาจนหมดสิ้น
หลวงพ่อฉาบจึงได้เข้าฝากตัวเป็นศิษย์เรียนวิชาต่างๆ ของหลวงพ่อเภา วัดถ้ำตะโก จากหลวงพ่อคง เจ้าอาวาสวัดถ้ำตะโกพุทธโสภา
จากนั้นหลวงพ่อฉาบก็เดินทางมุ่งไปสู่วัดเขาสาริกา เพื่อจะไปศึกษาธรรมกรรมฐานจากหลวงพ่อกบ ก็ปรากฎว่าได้มรณภาพไปแล้วเช่นกัน
จึงได้มาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎ ซึ่งอยู่ติดกับวัดเขาสาริกา แต่อยู่คนละฝางเขา ที่วัดเขาวงกฎแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่สนามแจง ตำบลสนามแจง อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในวงล้อมของเขา เป็นลักษณะหุบเขาเปิด มีทางเข้าออกทางเดียว
ปี พ.ศ. ๒๔๖๕ หลวงพ่อเภา พุทธสโร วัดถ้ำตะโก ธุดงค์มาพบสถานที่แห่งนี้เข้า เห็นว่าเหมาะแก่การอบรมสมถกรรมฐาน และเจริญวิปัสสนากรรมฐานมาก จึงได้ทำการก่อสร้างให้เป็นวัดโดยสมบูรณ์แบบ มีถ้ำคูหาสวรรค์อยู่ที่เชิงเขาด้านทิศเหนือ
ซึ่งหลวงพ่อเภาจะจำพรรษาและทำความเพียรในถ้ำคูหาสวรรค์แห่งนี้ ต่อมากรมพระนครสวรรค์ พระองค์เจ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ เสด็จมาที่เขาวงกฎได้พบหลวงพ่อเภา ทรงเลื่อมใสในปฏิปทาและแนวทางในการปฏิบัติของหลวงพ่อ
จึงได้ถวายปัจจัยให้ก่อสร้างวัด หลวงพ่อเภาจึงได้สร้างกุฏิขึ้นหน้าถ้ำคูหาสวรรค์ให้ชื่อว่า "ตึกบริพัตร" ตามนามของผู้บริจาค และหลวงพ่อเภาได้มาจำพรรษาที่กุฏินี้ตลอดมา หลังจากหลวงพ่อเภาได้มรณภาพในปี พ.ศ. ๒๔๗๔
ที่วัดแห่งนี้ในปีหนึ่งจะมีพระสงฆ์มาจากวัดต่างๆ ทุกภูมิภาคมาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎแห่งนี้ หลวงพ่อฉาบได้มาปฏิบัติธรรมได้พบกับพระมหาชวน มลิพันธ์ หรือ หลวงพ่อโอภาสี
หลวงพ่อฉาบได้พบหลวงพ่อโอภาสี เล่าเรื่องมีความศรัทธาหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา แต่มารู้ภายหลังว่าท่านได้มรณภาพไปแล้ว ด้วยความตั้งใจมุ่งหวังจะศึกษาวิชาต่างๆจากท่าน ก็ได้รับคำแนะนำจากหลวงพ่อโอภาสี ซึ่งเป็นศิษย์ที่รับการถ่ายทอดวิชามาหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา
หลวงพ่อโอภาสีในงานศพหลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา ลพบุรี |
หลวงพ่อฉาบจึงขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อโอภาสี ขอศึกษาวิชากสิณต่างๆและไสยเวทย์ หลวงพ่อโอภาสีได้ฝึกสอนวิชาต่างๆ ให้เช่น กสิณไฟ และคาถาอาคมต่างๆ ให้หลวงพ่อฉาบจำนวนมาก และยังได้ชักชวนนิมนต์ให้หลวงพ่อฉาบเดินทางไปพบท่าน ที่อาศมบางมดกรุงเทพฯ
ในครั้งนั้นที่วัดเขาวงกฎ หลวงพ่อฉาบยังได้พบปะรู้จักเป็นสหายธรรมกับหลวงพ่อชา (สุภัทโท) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี ที่ได้เดินทางมาปฏิบัติธรรมที่วัดเขาวงกฎแห่งนี้ด้วย
ได้ปฏิบัติธรรมร่วมกันได้ขอศึกษาแลกเปลี่ยนวิชาไสยเวทย์ต่างๆ กับหลวงพ่อชา สุภัทโท หลวงพ่อชาเกิดปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ปีเดียวกับหลวงพ่อฉาบ หลวงพ่อฉาบอยู่ปฏิบัติธรรมเป็นเวลา ๔๕ วัน ก็ได้เดินทางกลับไปยังวัดถ้ำตะโกอีกครั้งหนึ่ง
ได้พำนักอยู่ที่วัดถ้ำตะโกพบปะใกล้ชิดกับหลวงพ่อคง อีกครั้งก็มาศึกษาพบว่า ที่วัดถ้ำตะโกแห่งนี้อยู่ในบริเวณดอยเขาเทือกเขาเดียวกับวัดต่างๆ อีกถึง ๓ วัด รวมดอยนี้มีวัดถึง ๔ วัดคือ วัดเขาสมอคอน วัดถ้ำช้างเผือก วัดถ้ำตะโก และวัดบันไดสามแสน
ในอดีตตั้งแต่ยุคสมัยทวาราวดีเป็นต้นมา ดอยเทือกเขานี้มีความสำคัญมากมีถ้ำใหญ่น้อยเป็นร้อยๆถ้ำ เป็นที่อยู่ของผู้ทรงศีล สมณะ ฤาษี พราหมณ์ เป็นแห่งกำเนิดของวิชาไสยเวทย์มนต์คาถาแหล่งรวมวิชาไสยศาสตร์ เช่นวิชาขอมดำดิน ก็ก่อเกิดในที่แห่งนี้เป็นตรรกศิลาแห่งไสยศาสตร์และเวทย์มนต์
โดยมีวัดเขาสมอคอนเป็นวัดอยู่ต้นดอย มีถ้ำพระนอนและที่พำนักของฤาษีสุกกะทันตะและ ถ้ำพราหมณี พ่อขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยก็มาศึกษาที่แห่งนี้ นับว่าเป็นแหล่งรวมศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่
หลวงพ่อฉาบ ก็ได้เดินทางมาที่วัดเขาสมอคอน เข้ากราบนมัสการฝากตัวขอเป็นศิษย์เล่าเรียนวิชาจากหลวงพ่อบุญมี (อิสสรโร) ศิษย์ผู้รับการสืบทอดวิชาไสยเวทย์จากหลวงพ่อพระครูปัชฌาย์ก๋ง (จฺนทสโร)
พระอุปัชฌาย์ก๋ง มีวิชาไสยเวทย์มากมายได้จากตำราเก่าอักขระยุคขอม ท่านเก่งมาก เทือกเขาสมอคอนหรือเรียกดอยธัมมิกราช ดอยธัมมิกราชวิทยาลัยราชะแห่งยุวทวาราวดี ดอยธัมมิก สาเหตุที่มีชื่อเรียกอย่างนี้เนื่องมาจาก สุกกทันตฤาษี (สุทันตะฤาษี)
ในหนังสือชินกาลมนีกล่าวว่าสุกกทันตฤาษีพำนัก ณ ดอยธัมมิก(เขาสมอคอน) อยู่ทางทิศใต้ของกรุงหริภุญชัย (ลำพูน) ในสมัยพระเจ้าจักรวัตติราช แห่งกรุงละโว้ สุกกทันตฤาษี
ในสมัยนั้นย่อมเป็นที่รู้จักต่อฝูงชนหมู่คณาจารย์ และบรรดากษัตริย์ต่าง ๆ ทั่วทุกแคว้น ดอยธัมมิกราช เป็นดอยที่มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาเกี่ยวข้องกับกษัตริย์ในสมัยทวาราวดี
เพราะทั้งภาษาหนังสือและความหมายเป็นภาษาชั้นสูงของผู้คงแก่เรียนที่ได้รู้ ในทางพระพุทธศาสนาอย่างมาก จึงสถาปนายอดดอยแห่งนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรมของบรรดาฤาษีและผู้มีบุญหนัก ศักดิ์ใหญ่หรืออีกนัยหนึ่งว่าเจ้ากรุงละโว้ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกพระพุทธศาสนา
จนได้สมญาพระนามว่าพระเจ้าธัมมิกราช ความสำคัญของดอยธัมมิกราช เขาสมอคอนได้สมญานามว่าวิทยาลัยแห่งราชา ยุคทวาราวดียอมเป็นที่แน่นอนที่สุดที่บรรดาพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงดัง
เรื่องไสยเวทย์เข้มขลังเป็นที่ยอมรับในสมัยเก่าก่อนมากกว่า ๑๕๐ ปีขึ้นไปนั้นส่วนใหญ่จะได้รับการสืบทอดเผยแพร่วิชาไสยเวทย์ มาจากแหล่งกำเนิดวิชาจากดอยธัมมิกราชแห่งนี้ทั้งสิ้น
หลวงพ่อฉาบ เมื่อท่านออกธุดงค์ครั้งที่ ๒ แล้ว ก็อยู่แต่ภายในวัดศรีสาครไม่ได้เดินทางไปไหนอีกเลย ท่านปิดกุฏิเป็นเวลานาน มุ่งบำเพ็ญกรรมฐานและสมาธิวิปัสสนากรรมฐานอยู่เป็นเวลาหลาย ๑๐ ปี
ในแต่ละวันจะเปิดกุฎิรับญาติโยมและพุทธศาสนิกชนเพียงบางเวลาเท่านั้นท่านไม่มีโทรทัศน์, วิทยุ ปิดกุฎิไม่รับรู้เรื่องภายนอก แต่ท่านก็รอบรู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ดี ท่านจะเน้นเรื่องกรรม บางครั้งสิ่งที่เป็นกรรมเหตุจะเกิดก็ไม่อาจเลี่ยงได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม
คุณสุนทร คนที่ดูแลหลวงพ่อคุยให้ฟังว่า หลวงพ่อจะพูดถึงหลวงพ่อชา (สุภัทโท) อยู่เสมอ เหมือนท่านได้นั่งสมาธิส่งกระแสจิตถึงกัน เหมือนติดต่อกันทางจิต
ในวันที่หลวงพ่อชาได้ละสังขารลง หลวงพ่อฉาบได้รีบเดินทางล่วงหน้าไปยังวัดหนองป่าพงและหลวงพ่อฉาบได้ไปร่วมในงานพระราชทานเพลิงศพในครั้งนั้นด้วย
หลวงพ่อฉาบได้ศึกษาไสยเวทย์และคาถาต่างๆ จากพระเกจิอาจารย์และพระคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงจำนวนมากอีกทั้งท่านได้ ปฏิบัติดีและประพฤติชอบตามพระธรรมวินัยคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมเป็นที่ยอมรับนับถือของชาวพุทธและชาวจังหวัดสิงห์บุรีอีกทั้งจังหวัด ใกล้เคียงจำนวนมาก
หลวงพ่อฉาบท่านได้นำวิชาต่างๆ ที่ได้ร่ำเรียน สงเคราะห์ญาติโยมที่มากราบหรือมาพึ่งบารมีของท่าน ช่วยขจัด ปัดเป่า ให้บรรเทาเบาบางลงไป ด้วยความเป็นพระที่เมตตา เข้าถึงง่าย จึงเป็นที่เคารพและ ศรัทธาของคนในพื้นที่และใกล้เคียงมากพอสมควร
นับเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ชาวสิงห์บุรีรู้จักกันดี มีชาวบ้าน ให้ความเลื่อมใสศรัทธาเป็นจำนวนมาก มีหลักธรรมคำสอนง่าย ด้วยการใช้เมตตาธรรมในการอบรม สั่งสอนลูกศิษย์ และเน้นความสำคัญของพระพุทธศาสนาที่มีคุณค่าใหญ่หลวงแก่ประเทศชาติบ้านเมืองที่สามารถดำรงสืบทอดมา
หลวงพ่อฉาบท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีประพฤติชอบ มีปฏิปทาเป็นที่เลื่อมใสและศรัทธามากยิ่งของชาวจังหวัดสิงห์บุรี ในจังหวัดใกล้เคียงอีกจำนวนมาก ด้านวัตถุมงคลของหลวงพ่อฉาบ มงฺคโล ทุกรุ่นมีประสบการณ์ศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังเป็นที่ยอมรับ
โดยเฉพาะเหรียญรุ่นแรก สร้างปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ต่างกล่าวขานกันว่าท่านบรรลุญาณสมาบัติชั้นสูง หูทิพย์ตาทิพย์ ได้อภิญญา ๖ ถอดกายทิพย์ ไปบิณฑบาตรต่างแดนในสถานที่ต่างๆ มีผู้พบเห็นเดินข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา
ข้ามไปบิณฑบาตรอีกฝั่งตรงข้าม เข้าไปในห้องที่ปิดประตูทึบโดยสำเร็จวิชาแปลงธาตุ เช่นทึบให้เป็นอากาศธาตุ น้ำให้เป็นดิน ลมให้เป็นไฟได้ เป็นที่โจดขานเล่าลือกันอย่างหนาหู
ประสบการณ์เรื่องเล่าจากศิษย์ใกล้ชิดที่รับใช้หลวงพ่อมานานนับสิบปี สมัยก่อนเวลาที่ท่านทำน้ำมนต์ เทียนที่หยดลงไปโดนน้ำในตุ่มนั้น จะกลายเป็นดอกบัวที่บานขึ้นทันทีที่ถูกน้ำ เดี๋ยวนี้ท่านใช้มือจับโอ่งหรือเอามือกวนเท่านั้น ใช้ได้เลย
หลวงพ่อฉาบ ปกครองวัดเรื่อยมาจนถึงแก่มรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๑ เวลา ๑๙.๒๐ น. นับรวมสิริอายุได้ ๙๐ ปี ๗๐ พรรษา
วัตถุมงคลของหลวงพ่อฉาบ วัดคลองจันทร์
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปวงกลมแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อทองแดงรมดำเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้าง ๘๐๔ เหรียญ
เหรียญหลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ เนื้อทองแดงรมดำ |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองของหลวงพ่อฉาบครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ที่ขอบเหรียญมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูมงคลนวการ(ฉาบ) วัดศรีสาคร ที่ระลึกในงานฉลองสมณศักดิ์ ๒๕๑๔"
ด้านหลัง เป็นภาษาบาลีอ่านได้ว่า "สัพพะปาปัสสะ อะกะระนัง" แปลว่าการไม่ทำบาปทั้งปวง "กุสลัสสูปะสัมปะทา" แปลว่าการทำกุศลให้ถึงพร้อม "สะจิตัตปะริโยทะปะนัง" แปลว่าการทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ "เอตัง พุทธานะสาสะนัง" แปลว่านี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ใต้ภาษาบาลีมีเลข "๑"
เหรียญหลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร รุ่นสอง (อรหังไทย)
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปวงกลมแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อทองแดงรมดำเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
เหรียญหลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร รุ่น ๒ อรหังไทย ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เนื้อทองแดงรมดำ |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองของหลวงพ่อฉาบครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิข้างรูปหลวงพ่อมีลายกนกสวยงาม
ด้านหลัง ตรงกลางเหรียญมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "อรหัง รุ่นพิเศษ ๒๕๒๑" ที่ขอบเหรียญมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูมงคลนวการ(ฉาบ) วัดศรีสาคร อ.เมือง จ.สิงห์บุรี"เหรียญหลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร รุ่นสอง (อรหังขอม)
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปวงกลมแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อทองแดงรมดำเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างไม่ได้มีการจดบันทึกไว้
เหรียญหลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร รุ่น ๒ อรหังขอม ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เนื้อทองแดงรมดำ |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองของหลวงพ่อฉาบครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิข้างรูปหลวงพ่อมีลายกนกสวยงาม
ด้านหลัง ตรงกลางเหรียญมีอักขระขอมอ่านได้ว่า "อะ ระ หัง" ใต้อักขระขอมมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "รุ่นพิเศษ ๒๕๒๑" ที่ขอบเหรียญมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "พระครูมงคลนวการ(ฉาบ) วัดศรีสาคร อ.เมือง จ.สิงห์บุรี"
โดย : สารานุกรมพระเกจิแห่งแดนสยาม
บทความที่เกี่ยวข้อง
- ประวัติและวัตถุมงคลของหลวงพ่อรุ่ง (พระไพโรจน์วุฒาจารย์) วัดท่ากระบือ เหรียญอันดับหนึ่งของชาวมหาชัย
- ประวัติและวัตถุมงคลหลวงพ่อผัน วัดราษฎร์เจริญ สระบุรี (เจ้าของเหรียญแทงคอหมูอันโด่งดัง)
ไม่มีความคิดเห็น