ประวัติและวัตถุมงคลหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ พระเกจิชื่อดังของบางปลาม้า สุพรรณบุรี
หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ สุพรรณบุรี |
หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ หรือ พระอุปัชฌาย์เรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ ตำบลบ้านแหลม อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ท่านถือกำเนิดเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๒๕ ในละแวกวัดใหม่พิณสุวรรณ โยมบิดาชื่อนายทับ วงศ์วิจารณ์ โยมมารดาชื่อนางเรียง วงศ์วิจารณ์ มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน ๓ คน คือ
๑. หลวงพ่อเรื่อง
๒. นายหลอ วงศ์วิจารณ์
๓. นายรา วงศ์วิจารณ์
๔. นายเริญ วงศ์วิจารณ์
ครอบครัวท่านประกอบอาชีพทำนา เหมือนกับชาวบ้านในย่านนั้น เป็นส่วนมาก โดยท่านมีที่ดินเป็นที่นาเป็นมรดก ภายหลังได้ยกให้เป็นส่วนหนึ่งของวัดใหม่พิณสุวรรณ ในปัจจุบัน
ปี พ.ศ. ๒๔๔๖ หลวงพ่อเรื่อง ท่านมีอายุได้ ๒๑ ปี ท่านจึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ พัทธสีมาวัดแก้วตะเคียนทอง (เดิมชื่ิอวัดตะคำ) อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี ได้รับฉายาว่า "ชินฺนปุตโต" โดยมี
พระครูวายามสุจริตวัตร (หลวงพ่อแสง) วัดแก้วตะเคียนทอง เป็นพระอุปัชฌาย์
หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้อยู่จำพรรษาที่วัดแก้วตะเคียนทอง เพื่อศึกษาธรรมวินัยและวิปัสสนากรรมฐานกับหลวงพ่อแสงผู้เป็นอาจารย์
ปี พ.ศ. ๒๔๔๗ เข้าสู่พรรษาที่ ๒ หลวงลุงแสงได้ฝากฝังให้ท่านไปเรียนภาษาบาลี, อักขระขอมโบราณ , พระคัมภีร์มูลกัจจายน์ ,วิปัสสนากรรมฐาน และสรรพวิชาที่พระภิกษุสมัยนั้นนิยมเรียนกัน ที่วัดเจ้าเจ็ดใน โดยมีหลวงพ่อปั้น ติสฺสเถระ เจ้าอาวาสรูปที่ ๒ ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงปู่จีนเป็นอาจารย์สอนวิชาให้
สำหรับวัดเจ้าเจ็ดในถือว่าเป็นสำนักตักศิลาที่มีชื่อเสียงสำนักหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาในสมัยนั้นซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจังหวัดสุพรรณบุรีมากนัก
ปี พ.ศ. ๒๔๕๐ หลังจากศึกษาวิชาที่วัดเจ้าเจ็ดในจนสำเร็จวิชามากมาย ท่านจึงได้ย้ายกลับมาจำพรรษาที่วัดใหม่พิณสุวรรณ อันเป็นปีแรกของการเริ่มสร้างวัด
ท่านมาช่วยสร้างวัดและศึกษาทั้งวิปัสสนากรรมฐาน และแพทย์แผนโบราณ กับหลวงพ่อปิ่น เจ้าอาวาสวัดใหม่พิณสุวรรณ ในขณะนั้นกระทั่งมีความชำนาญ
หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ สุพรรณบุรี |
ต่อมาเมื่อหลวงพ่อปิ่น มรณภาพลง หลวงพ่อเรื่องได้ขึ้นรับตำแหน่งเจ้าอาวาส ใช้วิชาความรู้ที่ได้ศึกษามาช่วยเหลือชาวบ้านต่อไป วัดใหม่พิณสุวรรณนี้ ในยุคที่หลวงพ่อเรื่องเป็นสมภารนั้น มีคนมาขึ้นกับท่านมากมาย ทั้งคนในพื้นที่วัดใหม่ฯ
และคนต่างตำบลอื่นๆคนไกลๆก็มาหาท่าน เพราะท่านเป็นพระที่ดีมีคนเคารพมาก รวมถึงท่านมีวิชาแพทย์แผนโบราณ สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บ เป็นที่พึ่งให้กับชาวบ้าน ได้อย่างแท้จริง
หลวงพ่อเรื่อง ท่านเป็นพระวิปัสสนากรรมฐานและแพทย์แผนโบราณ รักษาคนป่วย ตลอดจนคนบ้าหายมานับพันนับหมื่นราย ท่านมีวิชาในทางแพทย์แผนโบราณ ที่น่าทึ่ง และสามารถรักษาโรคได้หลากหลาย แม้กระทั่งคนวิกลจริต ก็สามารถรักษาให้หายได้ โดยท่านไม่เรียกค่ารักษาใดๆทั้งสิ้น
จนถูกคนอิจฉาและท่านก็ได้ต่อสู้กับความอยุติธรรมจนเป็นผลสำเร็จ
นอกจากคนที่มาเพื่อขอรับการรักษา ก็ยังมีผู้ที่ต้องการจะบวชเรียนในพระพุทธศาสนา ก็มักจะมานิมนต์หลวงพ่อเรื่องไปเป็นอุปัชฌาย์ เพื่อความเป็นสิริมงคลของผู้บวช และจะได้ชื่อว่าเป็นสัทธิวิหาริกของท่าน
ซึ่งคนเหล่านี้เมื่อภายหลังสึกไปแล้ว ก็นับถือท่านเป็นดั่งอาจารย์ แวะเวียนกลับมาหาท่าน แม้มิได้มีเรื่องทุกข์ร้อนอะไร ทำให้กิติศัพท์ของท่านแผ่ไปไกล
ในสมัยนั้นไม่มีอุปัชฌาย์ที่แน่นอน เจ้าภาพศรัทธาองค์ไหน ก็ไปนิมนต์ ขอให้มีพรรษามาก ก็เป็นอุปัชฌาย์ได้ ดังนั้นหลวงพ่อเรื่องจึงแทบจะผูกขาด การเป็นอุปัชฌาย์ในถิ่นนั้น รวมถึงต่างตำบลไกลๆ ก็ยังมานิมนต์ท่าน
กระทั่งวัดต่างๆ จะสร้างโบสถ์ วิหาร ก็ยังมานิมนต์ท่านไปช่วย ไม่เฉพาะในเขตสุพรรณเท่านั้น ยังรวมถึงจังหวัดใกล้เคียง
ความที่มีคนมานับถือหลวงพ่อเรื่องมากนี้เอง รวมถึงการนั่งอุปัชฌายะ ที่ใครๆก็จะนิมนต์แต่ท่าน ทำให้พระผู้ใหญ่ในแขวงนั้น ไม่พอใจ ขัดใจ และได้กลั่นแกล้งท่าน หลายอย่าง จนในที่สุด ได้กล่าวหาตั้งอธิกรณ์ ข้อปาราชิกกับท่าน
ว่ามีสตรีอิงนอนอยู่ในวัด โดยไปกล่าวโทษท่านถึงที่วัด และมีผู้นำสตรีวิกลจริต ไม่สวมเสื้อผ้า ไปไว้ในกุฏิของหลวงพ่อ เป็นการเตรียมการเอาไว้แล้ว
เมื่อทางคณะที่กล่าวโทษท่าน ไปถึงที่วัด ก็พบหลักฐานว่ามีสตรีเปลื้องผ้าอยู่ในกุฏิท่าน จึงได้กล่าวโทษตั้งอธิกรณ์ ท่านว่าปาราชิกทันที
พระผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้น ถือว่าขาดจากความเป็นพระทันที ไม่สามารถอยู่ร่วมกับคณะสงฆ์อื่นได้ บวชใหม่ไม่เป็นผลใเมื่อพบหลักฐานประจักษ์ ตามที่คณะตั้งอธิกรณ์กล่าวหา หลวงพ่อได้กล่าวชี้แจงยืนยันความบริสุทธิ์ของท่านว่า
มิได้ล่วงประเวณีหรือกระทำการใดๆให้ผิดวินัยของสงฆ์ตามที่กล่าวหา
เหตุที่มีสตรีอิงนอนอยู่ในวัด ก็เพราะหลวงพ่อรักษาคนวิกลจริต ไม่รู้สติ(คนบ้า) แล้วมานอนแก้ผ้าในกุฏิ แต่ท่านมิได้ทำอะไรสตรีนั้นเลย ในคืนก่อนหน้า ที่เขาจะมากล่าวหา ท่านก็มิได้จำวัดที่กุฏิ ท่านจำวัดอยู่ที่ศาลาทำยา(ศาลารักษาคน) มีผู้ยืนยันได้
แต่ทางพระผู้ใหญ่มีอคติ ไม่ฟังความหลวงพ่อ บอกว่าหลักฐาน(เท็จ)แน่นหนา ท่านปาราชิก ขาดจากความเป็นพระแล้ว ให้สึกและออกจากวัดไปทันที
เมื่อเหตุการณ์บีบคั้นดังนี้ หลวงพ่อจึงสึกกับต้นโพธิ์ แล้วขานวาจาว่า "เขาอยากให้เราสึก เราก็สึกแต่ทางกาย แต่ใจเราไม่สึก" แล้วหลวงพ่อก็เปลื้องผ้าเหลือง ห่มผ้าขาวแทน แล้วเดินทางมากับนายไปล่ลูกผู้น้อง (นายไปล่หรือคุณทวดไปล่ สมัยนั้นเป็นวัยรุ่น และได้เดินทางไปหาหลวงพ่อเรื่องเช้ามืดวันนั้นพอดี)
หลังจากออกมาจากวัด หลวงพ่อได้ไปพักอาศัยที่บ้านโพธิ์ พักใหญ่ โดยยังปฏิบัติตนแบบพระทุกอย่างแต่ว่าห่มผ้าขาวแทน หลังจากนั้นนายไปล่ ก็ไปหาท่าน และบอกว่าให้ท่านมาอยู่ที่บ้านผมก็ได้ ครั้งนั้นนายไปล่กำลังจะปลูกบ้าน หลวงพ่อก็มาก่อน ท่านมาบอกว่า "กูอยู่ไม่นานหรอก เสร็จเรื่องแล้ว กูก็จะไป"
นายไปล่ถามว่า ท่านจะไปไหน ท่านตอบว่า "ธุดงค์เรื่อยไป ในประเทศบวชให้เป็นพระสมบูรณ์ไม่ได้ บวชประเทศอื่นก็ได้ เป็นพระเหมือนกัน"
ก่อนที่ท่านจะเดินทางไปธุดงค์ ท่านได้ทำมงคลหัวเสาเอกให้นายไปล่ไว้ และให้พระบูชา ๑ องค์เป็นมงคลกับบ้าน วันที่ท่านจะจากไป ท่านให้ไปส่งท่าน จากปากคลองสองพี่น้อง เอาเรือไปส่งท่านที่ปากคลองบางสาม ท่านจะไปนครชัยศรี และจะธุดงค์ไปทางประเทศลาวต่อไป
ท่านบอกว่า "ถ้าในประเทศไทยบวชไม่ได้ ท่านจะไปบวชที่ลาวและจะกลับมาแน่นอน" แล้วท่านก็จากไป หายไปหลายปี (เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าและข้อมูลจากคุณทวดไปล่ เสถียรอินทร์ บันทึกไว้โดยหลานของท่าน)
หลวงพ่อเรื่อง ท่านหายไปหลายปี และกลับมาในสภาพที่บวชเป็นพระ แต่เป็นพระที่ไม่มีสังกัด อยู่วัดไหนไม่ได้ ไม่มีใครทราบว่า-ท่านไปบวชที่ไหน แต่ในช่วงที่ท่านหายไป ท่านธุดงค์ไปในป่าของประเทศลาว และเขมร ท่านอาจไปบวชกับพระอุปัชฌาย์ทางนั้น
เมื่อท่านกลับมาเป็นพระไร้สังกัด ท่านบอกว่า "วัดอยู่ไม่ได้ เราก็สร้างวัดของเราเอง" ท่านมีที่นา ๒ไร่เป็นสมบัติจากโยมแม่ของท่าน ที่นานี้ติดกับวัด ท่านก็สร้างกุฏิ อยู่ปฏิบัติตัวเหมือนพระแต่อยู่ในที่ของท่าน
เมื่อท่านกลับมาอยู่ได้ประมาณ ๒ ปี คณะที่เคยกล่าวหาท่าน (ที่ยังเหลืออยู่) ก็ตามมาสึกท่านอีก โดยให้เหตุผลว่า ท่านปาราชิกแล้ว บวชใหม่ไม่เป็นผล ห้ามแต่งกายเลียนแบบพระ กลั่นแกล้งท่านต่างๆนาๆ ท่านก็ยอม
แต่ท่านบอกว่าอธิกรณ์นี้ขอให้หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก เป็นผู้ตัดสิน ไปตัดสินกันที่นครปฐม ได้ตัดสิน ยกอธิกรณ์ทั้งหมดว่าท่านไม่มีความผิดใดๆ สำหรับการไปบวชที่ลาว ท่านว่าให้หลวงพ่อบวชใหม่ โดยมีสมภารวัดเจ้าเจ็ด (น่าจะเป็นหลวงพ่อยิ้ม) เป็นอุปัชฌาย์ให้
เมื่อบวชแล้วต่อมา ท่านก็ได้รับแต่งตั้งเป็นอุปัชฌาย์ สามารถบวชกุลบุตรได้เหมือนแต่ก่อน ในการรับรองครั้งนั้นมี
๑. หลวงปุ่บุญ วัดกลางบางแก้ว
๒. หลวงพ่อทา วัดเพนียงแตก
๓. หลวงพ่อยิ้ม วัดเจ้าเจ็ด
หลังจากนั้นคณะที่กล่าวหาท่าน ก็ค่อยๆหายจากไป ไม่มีใครมากลั่นแกล้งท่านอีก ภายหลังจากที่หลวงพ่อพ้นอธิกรณ์ ก็ได้รับการยอมรับจากคณะสงฆ์ เป็นอย่างดี เห็นได้จากการที่ท่านได้รับนิมนต์ไปงานพุทธาภิเศกต่างๆมากมาย
ซึ่งในการทำกิจของสงฆ์นั้น ถ้ามีพระที่ปาราชิกเข้าร่วม พิธีนั้นไม่เป็นผล(แม้แต่การบวช) การที่หลวงพ่อเรื่องได้รับการนิมนต์เข้าร่วมงานพิธีต่างๆอย่างมากมาย เป็นข้อการันตีต่อภายนอกว่าคณะสงฆ์เชื่อมั่นว่าท่านเป็นพระผู้บริสุทธิ์อย่างแท้จริง
สำหรับงานที่หลวงพ่อรับนิมนต์ไปร่วมนั้น เท่าที่พอจะมีข้อมูลเป็นตัวอักษร เหลือให้พอติดตามได้มีดังนี้ (เชื่อว่ามีมากว่านี้)
๑. พิธีวัดพระปฐมเจดีย์ พ.ศ. ๒๔๗๖
๒. พิธีแหวนมงคลเก้าวัดราชบพิตร พ.ศ. ๒๔๘๑
๓. พิธีแหวนของขวัญมงคลศรี วัดราชบพิตร พ.ศ. ๒๔๘๔
๔. พิธีชินราชอินโดจีน วัดสุทัศน์ พ.ศ. ๒๔๘๕
๕. พิธีสร้าง เหรียญหล่อโบราณพิมพ์พระประจำวัน พ.ศ. ๒๔๘๗ วัดพระปฐมเจดีย์
๖. พิธีสร้างเหรียญหล่อ วัดห้วยสุวรรณ พ.ศ. ๒๔๙๕
๗. พิธีวัดประสาทปี พ.ศ. ๒๕๐๖ หลวงพ่อมอบชนวนหล่อพระวัดเบญจมบพิตรให้ แต่ไม่ทราบว่าท่านไปร่วมปลุกเสกหรือไม่
หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ สุพรรณบุรี |
หลวงพ่อเรื่อง ท่านเป็นพระที่มีวิชา มีอภินิหารแปลกๆ มากมาย หลวงพ่อฤษีลิงดำ วัดท่าซุง เคยเล่าถึงท่านไว้ว่า "หลวงพ่อเรื่อง ท่านเก่งมาก เก่งรองจากหลวงพ่อปาน สำหรับหลวงพ่อเรื่องนี้ ท่านมีอภินิหารแปลกๆเยอะ" "อาจจะเป็นอานุภาพของหลวงพ่อเรื่องก็ได้ เป็นพระรุ่นน้องของหลวงพ่อปาน มีวิชาอาคมดีมาก กรรมฐานก็ดีมาก มีความเป็นทิพย์ของจิตอย่างประเสริฐ"
"หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงพ่อเล็ก วัดบางนมโค หลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ พระคณาอาจารย์ทั้งสามท่านนี่เป็นพระอริยะทั้งนั้น อาตมาอยู่ใกล้ แน่ใจว่าเป็นพระอริยะเจ้า"
นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องเล่าจากผู้ที่เคยใกล้ชิด หรือได้รับวิชาจากท่านดังนี้
มีลูกศิษย์ของท่านได้บริจาคเงินให้หลวงพ่อสร้างวัด และไปซื้อไม้กับท่าน ในขณะนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ เรือพายที่นำคณะซื้อไม้ ได้ผ่านไปในจุดที่มีการยิงต่อสู้กัน แต่ละฝ่ายอยู่คนละฝั่งคลอง ยิงต่อสู้กัน ลูกศิษย์ที่พายเรือได้บอกหลวงพ่อด้วยความกลัวว่า "หลวงพ่อ กลับเหอะ เขายิงกันใหญ่แล้ว"
หลวงพ่อได้ตอบว่า "มึงไปกลัวทำไมวะ มึงมากับกู มึงกลัวด้วยเหรอะวะ พายเรือฝ่าไปเลย"
เมื่อหลวงพ่อท่านสั่งดังนั้น คณะพายเรือจึงรีบจ้ำพายฝ่าไปอย่างเร่งรีบ ลูกศิษย์ท่านนั้นได้เล่าว่า พายเรือฝ่าไปได้ยินเสียงเขายิงกันดังโป้ง ป้าง แต่ลูกกระสุนของทั้ง ๒ ฝ่ายไปไม่ถึงกัน ได้ยินเสียงกระสุนตกลงน้ำอยู่ข้างเรือ และไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆ จนพายเรือเลยไป
เขมรลองวิชา เรื่องนี้รับข้อมูลมาจากพื้นที่คนสุพรรณ ครั้งหนึ่งหลวงพ่อได้รับนิมนต์ไปฉันเพล ในการนี้เขานิมนต์ไปเพื่อลองของโดยเฉพาะ โดยเอาหนังควายไปแอบวางไว้ใต้อาสนะที่ท่านจะนั่ง เพื่อที่เวลาท่านนั่งแล้วจะทำพิธี ไสยศาสตร์ ย่อหนังควายเสกให้เข้าตัวท่านทางทวาร เมื่อหลวงพ่อมานั่งแล้ว
เขาก็จะเริ่มทำพิธี แต่ฉับพลัน หลวงพ่อยกมือไหว้ไปในอากาศ แล้วเป่าพวดลงไปตรงที่ท่านนั่ง หนังควายผืนนั้น กระเด็นหลุดออกมาจากใต้อาสนะทันที คนที่จะทำของถึงกับตกใจร้องทันที ว่า "นี่สิพระไทย นี่สิพระไทย ของแท้" เรื่องนี้ไม่ทราบ พ.ศ.ที่เกิดเรื่อง เพราะเป็นเรื่องเล่าต่อกันมาในหมู่ชาวบ้านใกล้วัดใหม่ฯ บางทีอาจเป็นตอนที่ท่านออกธุดงค์ก็เป็นได้ เพราะคนที่ทำเป็นชาวเขมร
ในสมัยที่หลวงพ่อเรื่องยังอยู่นั้นถ้าใครไปหาท่านหรือผ่านไปจะเห็นท่านนั่งพึมพำๆ อยู่คนเดียวตลอด ทำไมหลวงพ่อจึงมีคนเห็นแบบนั้น ก็เพราะท่านเจริญกรรมฐานตลอด หลวงพ่อฉันหมากแล้วภาวนาด้วยพุทธคุณธรรมคุณ และสังฆคุณจนเป็นนิสัย
ภาวนาจนหมากเปรี้ยวกันคุณไสย และของเดรฉานวิชา โดยหลวงพ่อจะภาวนา ตั้งเเต่ตระบันหมาก นายมา เล่าว่าตระบันหลวงพ่อยาวเป็นศอกตระบันไปด่าไป เขาเลยถามหลวงพ่อว่าด่าใครครับหลวงพ่อตอบว่า "ผีในป่าช้ามันให้กูมาให้ด่า เเละจะไม่อดวัดจะมีคนมาทำบุญ ลูกวัดจะมีกินและได้ผลมันก็รอกินกรวดน้ำให้มันเรื่อยมันได้ผลว่ะ กูนึกว่ามันจะหลอกกูซะเเล้ว" หลวงพ่อท่านพูดกูเคี้ยวหมากไป
สำหรับวัตถุมงคลของหลวงพ่อเรื่องนั้น มีมากมายหลายแบบ เช่น ผ้ายันต์ ตะกรุด แหวนแขน แหวนนิ้ว แหวนงู ผ้ายันต์ชายธง มงคล รูปกระจก รูปบูชา พระเนื้อดิน มีหลายสิบพิมพ์ พระเนื้อเมฆพัตร พระเนื้อแร่ พระหล่อเนื้อโลหะ
พระผงใบลาน พระสมเด็จว่านยา เนื้อดำ-แดง เหรียญปี พ.ศ. ๒๔๙๙ และ เหรียญปี พ.ศ. ๒๕๐๘ (ทันหลวงพ่อ) พระเครื่องเหล่านี้มีหลายสิบแบบ มีทั้งที่ท่านได้รับจากงานที่ไปร่วมปลุกเสก และที่ท่านนำมาถอดพิมพ์ เทด้วยเนื้อที่เป็นของท่านเอง บางพิมพ์ก็แกะพิมพ์เอง เป็นเอกลักษณ์ของท่าน
หลวงพ่อเรื่อง ปกครองวัดเรื่อยมาจนถึงแก่มรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อปีมะเส็ง พ.ศ. ๒๕๐๘ นับรวมสิริอายุได้ ๘๔ ปี.
วัตถุมงคลของหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ
เหรียญหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ รุ่นแรก
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ โดยนายเลียง ไชยกาล ร่วมกับคณะศิษย์ที่กรุงเทพสร้างถวายหลวงพ่อ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์ให้กับทางวัด ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปเสมาแบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้อทองแดงเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้างประมาณ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ เหรียญ
เหรียญหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ สุพรรณบุรี รุ่นแรก ปี พ.ศ. ๒๔๙๙ เนื้อทองแดงกระไหล่ทอง |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองของหลวงพ่อเรื่องครึ่งองค์ห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิ ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "หลวงพ่อเรื่อง" เหนือรูปหลวงพ่อมีอักขระเลขไทยเขียนว่า "๒๔๙๙" ซึ่งคือปีที่สร้างเหรียญ
ด้านหลัง ตรงกลางมีรูปพระพุทธกวัก รอบองค์พระมีอักขระยันต์อ่านได้ว่า "นะ โม พุท ธา ยะ"
เหรียญหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ รุ่นสอง
สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๐๘ โดยหมอพยนต์ กลิ่นเกสร สร้างถวายหลวงพ่อ เพื่อแจกให้กับผู้ที่บริจาคทรัพย์สร้างโบสถ์กับทางวัด บางส่วนนำไปแจกให้กับผู้บริจาคทรัพย์สร้างพระอุโบสถหลังใหม่ของวัดจระเข้ใหญ่ นอกจากนี้เหรียญที่เหลือบางส่วนแจกในงานศพของหลวงพ่ออีกด้วย ลักษณะเป็นเหรียญปั๊มรูปไข่แบบมีหูในตัว มีการสร้างด้วยเนื้ออัลปาก้าเพียงชนิดเดียวเท่านั้น จำนวนการสร้าง ๕๐๐ เหรียญ
เหรียญหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ สุพรรณบุรี รุ่น ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เนื้ออัลปาก้า |
เหรียญหลวงพ่อเรื่อง วัดใหม่พิณสุวรรณ สุพรรณบุรี รุ่น ๒ ปี พ.ศ. ๒๕๐๘ เนื้ออัลปาก้า |
ด้านหน้า เป็นรูปจำลองของหลวงพ่อเรื่องนั่งมารวิชัยเต็มองค์ องค์หลวงพ่อห่มจีวรลดไหล่ พาดผ้าสังฆาฏิรัดประคต ใต้รูปหลวงพ่อมีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "หลวงพ่อเรื่อง"
ด้านหลัง ตรงกลางมีอักขระยันต์ ใต้อักขระยันต์มีอักขระภาษาไทยเขียนว่า "วัดใหม่พิณสุวรรณ ๒๕๐๘"
โดย : สารานุกรมพระเกจิแห่งแดนสยาม
บทความที่เกี่ยวข้อง
ไม่มีความคิดเห็น